วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

การแต่งกาย

การแต่งตัว


   ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ไม่มีชุดประจำชาติ แต่จะมีชุดประจำรัฐแต่ละรัฐเป็นของตัวเองชุดประจำรัฐเหล่านี้จะแตกต่างและมีความสวยงามแตกต่างกัน ชุดเหล่านี้จะสะท้อนให้เราได้รู้และเห็นถึงความเก่าแก่ และความเป็นอยู่ของคนที่อาศัยอยู่ตามภูมิภาคต่างๆ ปัจจุบันได้มีการดัดแปลงนำเอาเครื่องแต่งกาย ชุดประจำรัฐมาดัดแปลงให้เข้ายุคสมัยนิยม ความหมายของเครื่องนุ่งห่มสมัยก่อนเราทราบกันดี รวมใส่ไม่ให้อุจาดตา,ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายและการแต่งกายจะเกี่ยวข้องกับศาสนาไม่คำนึงถึงความสวยงาม ถ้าคนสนใจและอ่านประวัติความเป็นมาของการตัดเย็บเสื้อผ้าของคนสมัยยุโรปสมัยก่อนจะมีเรื่องราวมากมาย เริ่มมาตั้งแต่ปี1400ความนิยมและการตัดซึ่งได้เริ่มมาจากยุโรปตะวันตกและรูปทรงการออกแบบที่ล้ำหน้ามีนักออกแบบเสื้อผ้ามากมายหลายคน ช่วงนั้นประเทศสวิตเซอร์แลนด์ก็ได้รับอิทธิพลและจัดรูปแบบเครื่องแต่งกายด้วย สมัยก่อนเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายมีราคาสูงมากและการแต่งจะมีความหมายหลายอย่างและที่สำคัญคือเครื่องแต่งกายจะมีกระเป๋าเสื้อ ซึ่งจะตกแต่งลักษณะพิเศษออกไป เนื้อผ้าของเครื่องแต่งกายแบบนี้จะทำด้วยผ้าพิเศษที่ใช้แต่งให้เหมาะกับวาระโอกาส ซึ่งอาจจะเป็นพวกผ้าสักหลาด พวกขนสัตว์ และผ้าไหม หรือผ้าฝ้ายที่นำมาจาก Mossul (Musselin) ซึ่งได้นำมาโดยเรือ ราคาผ้าจึงมีราคาสูงมากและมอบให้เป็นของขวัญสำคัญมูลค่าสูง ใครได้รับจัดว่ายิ่งใหญ่มาก หลายศตวรรษต่อมาก็เริ่มการผลิตเองทางแถบภาคตะวันออกและทางใต้ของสวิตเซอร์แลนด์และคนสวิสก็นำมาใช้ในการแต่งกายธรรมดา ความหมายจึงได้เปลี่ยนไป 
   สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่มีอากาศหนาวจัดบนพื้นที่ภูเขาและที่สูงในฤดูหนาว การแต่งกายจึงสวมใส่เสื้อผ้าที่ค่อนข้างหนาและให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย อาทิ เสื้อเสว็ตเตอร์ แม้จะไม่ใช่ฤดูหนาวก็ตาม เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของอากาศในแต่ละวันมีอยู่ตลอดเวลา ควรสวมรองเท้าที่เดินทั้งวันได้สบาย ใส่แว่นกันแดดจะช่วยได้มากในวันที่แดดจัด และควรมีร่มขนาดพกพาหรือ เสื้อกันฝนติดไปด้วยเสมอ


อ้างอิง : https://ttooyying.wordpress.com/%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B9%8C/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7/

เว็บบล็อกแนะนำประเทศ

สวิตเซอร์แลนด์
       ตั้งอยู่กลางทวีปยุโรป ล้อมรอบด้วยเทือกเขาแอลป์ (Alps) ไม่มีทางออกทะเล ทิศเหนือติดกับเยอรมนี ทิศตะวันออกติดกับออสเตรีย และลิกเตนสไตน์ ทิศตะวันตกติดกับฝรั่งเศส และทิศใต้ติดกับอิตาลี




อาหารประจำชาติ


10 อาหารประจำชาติสวิตเซอร์แลนด์ (Top 10 Swiss Food)
    สวิตเซอร์แลนด์ เป็นประเทศที่ได้รวบรวมเอาวัฒนธรรม ของประเทศเพื่อนบ้านไว้หลากหลายเลยทีเดียว ทำให้อาหารการกินของที่นี่ ได้รับอิทธิพลจากประเทศอื่นๆเป็นอย่างมาก อาทิเช่น ประเทศฝรั่งเศส เยอรมนี และอิตาลี อาหารประจำชาติของประเทศสวิตเซอร์แลนด์(Switzerland)  ล้วนแล้วแต่ละเมนูโดยส่วนใหญ่ มักจะมีส่วนผสมของชีสเป็นหลัก สำหรับเมนูที่พลาดไม่ได้เลยหากไปที่นี่ มีทั้งหมด 10 เมนู

1.ฟองดู (Fondue)
อาหารที่นิยมรับประทานกันในฤดูหนาวกับไวน์ขาวเป็นขนมปังก้อนเล็กๆ จุ่มในหม้อร้อน ที่บรรจุเนยแข็ง(มักจะเป็น Emmentaler หรือ Gruyeres)เคี่ยวละลายในไวน์ขาว เหล้าเชอร์รี่ และเครื่องเทศ ที่จริงแล้วคนประเทศชาตินี้ชอบทานชีสต์ โดยเฉพาะการทานแบบจิ้มจุ่ม ทำนองเอาไรก็ได้มาจิ้มๆ ลงในชีส แล้วก็ทานในเวลาหนาวๆ

2.Raclette 
จากครัวของชาววาเลส เป็นชื่อของชีสเนื้อกึ่งแข็ง (semi firm)ที่ทำจากนมวัว เวลารับประทานนิยมละลายด้วยความร้อนทานกับมันฝรั่งลูกเล็ก แตงกวาดอง หอมดองและเนื้อแห้งคล้ายกับการทานชีสฟองดู

3.Geschnetzeltes 
ทำมาจากเนื้อลูกวัวหั่นเป็นชิ้นบางๆ ยาวๆ เคี่ยวในครีมข้น พร้อมเสิร์ฟกับ Rosti

 4.Ratscherenttopf
 ทำมาจากเนื้อต้มเปื่อยพร้อมกับมันฝรั่ง

5.Rosti 
นิยมทานคู่กับ Geschnetzeltes :  Rosti ทำมาจากมันฝรั่งหั่นละเอียดนำเอามาผสมแฮมหรือเนยแข็ง แล้วทอดจนเป็นสีเหลืองทอง

6.Luzerner Chugelipastete  
พายตับบดหรือจะทำจากเนื้อบดก็ได้ จะคล้ายๆ กับพายไก่ของเมืองไทย แต่ของสวิตเซอร์แลนด์ 1 ชิ้นจะใหญ่มากๆ

7.Paper Vaudois  
ทำจากไส้กรอกใส่ต้นหอมจากพันธรัฐโวด์

8.ขนมปัง
ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์มีอยู่หลายประเภท แต่ได้รับความนิยมอย่างสูงสุดและรสชาติแสนอร่อยที่เป็นขนมปังสีขาวที่เรียกว่า zopf

9.Älplermagronen (มักกะโรนี) 
เป็นแบบจานรวมราคาประหยัดโดยใช้ส่วนผสมที่คนเลี้ยงปศุสัตว์ มีมาผสมรวมกัน เช่น มักกะโรนี มันฝรั่ง หอม ขนาดเล็ก เบคอนและชีสเหลว Älplermagronen มักจะเสิร์ฟพร้อม ซอสแอปเปิ้ล แทนผักหรือสลัด

10.Berner Platte 
คือหมูรมควันพร้อมไส้กรอกของชาวเบิร์น เสิร์ฟกับกะหล่ำปลีดอง ถั่วแขก และมันฝรั่ง เมนูนี้เครื่องเคียงเยอะมาก มีให้เลือกหลากหลาย ทานคู่กับอะไรก็ได้

นอกเหนือจากเมนูเหล่านี้ก็จะยังมี  เนยแข็งนานาชนิด และ ของหวาน เช่น ช็อกโกแลต, เพสตี้ และเค้ก เป็นต้น ท่านสามารถไปลิ้มลองขนมหวาน รสชาติกลมกล่อมได้ตามโรงแรม ภัตตาคาร ร้านอาหารที่มีอยู่มากมายใน สวิตเซอร์แลนด์


อ้างอิง : http://www.hamiltoninter.com/articles/10-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%AD/





การเดินทาง

การเดินทางในสวิตเซอร์แลนด์

ทางรถยนต์

การเดินทางโดยรถยนต์ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์นั้นสะดวกมาก ใบอนุญาตขับขี่สากลนั้นใช้ได้ในสวิส แต่อายุขั้นต่ำของผู้ขับขี่คือ 18 ปี ป้ายจราจรทั่วไป ในสวิตเซอร์แลนด์เหมือนกับป้ายจราจรในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกบางป้ายจะมีคำอธิบายอยู่ด้วย ป้ายจราจรตามเส้นทางที่เข้าใจง่าย แต่ควรจะใช้ความระมัดระวังในการขับรถตามถนนที่ค่อนข้างแคบและคดเคี้ยวไปมา สามารถที่จะหลีกเลี่ยงเส้นทางบนเขาได้โดยเลี่ยงไปใช้อุโมงค์สำหรับรถยนต์ หรือรถไฟ

ความเร็วจำกัดในการขับรถยนต์ คือ บนทางด่วนไม่เกิน 120 กิโลเมตร / ชั่วโมง (75 ไมล์/ชั่วโมง) บนทางหลวงไม่เกิน 50 กิโลเมตร/ชั่วโมง (31 ไมล์/ ชั่วโมง) การจำกัดความเร็วนั้นจะระบุเป็นกิโลเมตรเสมอ ตามทางด่วนจะใช้ป้ายบอกเส้นทางเป็นสีเขียวนอกจากจะระบุเป็นอย่างอื่น รถทางขวาจะเป็นผู้มีสิทธิได้ใช้ทางก่อน กฎจราจรเป็นแบบไปขวามาซ้าย ขับชิดขวา และแซงทางซ้าย ห้ามแซงทางขวา ผู้โดยสารทุกคนต้องขาดเข็มขัดนิรภัย เด็กอายุต่ำกว่า 7 ขวบ จะต้องนั่งรัด เข็มขัดอยู่ในที่นั่งสำหรับ (Child Seat) รถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่ใช้ทางด่วนจะต้องจ่ายค่าผ่านทางเป็นรายปีจำนวน 40 สวิสฟรังก์ ซึ่งเรียกกันว่า วิกแน็ต (Vignettte)

ตามปกติ รถเช่าในประเทศสวิตเซอร์แลนด์จะรวมค่าเช่ารถด้วย สำหรับยานพาหนะที่เช่ามาจากนอกประเทศสวิตเซอร์แลนด์จะไม่รวมค่าผ่านทาง การจ่ายค่าผ่านทางด่วนนี้สามารถทำได้ที่ด่านชายแดนหรือที่สำนักงานไปรษณีย์ ของสวิตเซอร์แลนด์ หรือที่ปั๊มน้ำมัน



ทางเครื่องบิน

มีสายการบินหลายสายที่บินเข้าท่าอากาศยานระหว่างประเทศของเมืองซูริค เมืองเจนีวา และเมืองบาเซิล

สายการบินสวิส (Swiss International Air Lines) ให้บริการบินระหว่างจุดหมายปลายทาง 126 แห่ง ใน 59 ประเทศทั่วโลกส่วนใหญ่จะเป็นประเทศในยุโรป แต่ขณะเดียวกันก็ให้บริการบินไปยังทวีปอื่น ๆ ด้วย

ที่สนามบินซูริคกับสนามบินเจนิวา มีสถานีรถไฟภายในบริเวณสนามบินและเส้นทางรถไฟ ที่อำนวยความสะดวกในการเดินทางเข้าไปในเมือง มีบริการทุก 10 - 20 นาที ใช้เวลาเดินทางเข้าเมืองเพียง 10 นาทีเท่านั้น และที่สถานีรถไฟของสนามบินทั้งสองแห่งมีรถไฟวิ่งระหว่างประเทศ ไปยังเมืองใหญ่ของทุกประเทศในยุโรปทุกชั่วโมง ที่เมืองบาเซิล มีรถประจำทางให้บริการจากสนามบินไปยังในเมือง ทุก ๆ ครึ่งชั่วโมง ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินเข้าเมืองเพียง 15 - 20 นาที ชุมทางรถประจำทางในเมืองอยู่ติดกับสถานีรถไฟ



ทางรถไฟ

ท่านที่ชื่นชอบระบบรถไฟที่ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางและดีเยี่ยมของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพราะท่านจะเดินทางได้อย่างสะดวกสบายและผ่อนคลาย กับทั้งท่านยังสามารถเพลิดเพลินกับทัศนีย์ภาพที่งดงามสองข้างทางรถไฟ รถไฟจะออกจากสถานีทุก ๆ ชั่วโมง เริ่มต้นตั้งแต่เช้าตรู่ไปจนถึงเที่ยงคืน การต่อรถไฟก็ง่ายและสะดวกมาก ตามปรกติแล้วจะใช้เวลาในการเปลี่ยนขบวนรถเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น ตั๋วรถไฟเที่ยวเดียวและตั๋วไป - กลับ มีขายที่สถานีรถไฟทุกแห่งในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สำหรับการเดินทางหลายเที่ยว ภายในประเทศสวิตเซอร์แลนด์นั้น เราแนะนำให้ท่านใช้ตั๋ว สวิส พาส (Swiss pass) ที่สะดวกและประหยัด

การสำรองที่นั่งนั้นจำเป็นมากสำหรับรถไฟที่วิ่งบนเส้นทางสายท่องเที่ยว ที่เน้นเรื่องการชมวิวทิวทัศน์ เช่น สายกลาเชียร์ เอ็กซ์เพรส (Glacier Express) และ สายเบอร์นีน่า เอ็กซ์เพรส (Bernina Express) เป็นต้น การสำรองที่นั่งทำได้ ที่ สถานีรถไฟใหญ่ ๆ ทุกแห่ง

- ยูโรพาส (Euro Pass)

- ยูเรลพาส (Eurail pass)

- ยูเรล ซีเล็คท์ พาส (Eurail Select Pass)

ถ้าท่านวางแผนที่จะเดินทางไปหลายประเทศในทวีปยุโรปทางเลือกที่ประหยัดได้แก่ " ยูเรล ซีเล็คท์ พาส" ซึ่งใช้ได้ในการเดินทางรวม 3 ประเทศที่มีพรมแดนติดกัน "ยูโรพาส" ซึ่งใช้ได้ใน 9 ประเทศหรือ "ยูเรลพาส" ซึ่งใช้ได้ในการเดินทางรวม 17 ประเทศ บัตรโดยสารเหล่านี้ให้สิทธิแก่ผู้ที่ไม่มีถิ่นพำนักถาวรในยุโรปได้ เดินทางอย่างไม่จำกัดเที่ยวบนเครือข่ายบริการเดินทางโดยรถไฟในยุโรปที่มีมากที่สุดถึง 17 ประเทศ รวมทั้งประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ด้วย เด็ก ๆ อายุตั้งแต่ 4 ขวบ จนถึง 12 ปี จ่ายค่าโดยสารครึ่งราคา

ตั๋วยูเรลพาส ไม่มีขายในทวีปยุโรป ดังนั้น จึงควรซื้อตั๋วนี้ก่อนการเดินทางออก จากประเทศไทย โดยซื้อได้จากสำนักงานท่องเที่ยวของท่าน บัตรโดยสารหลักและเรือล่องทะเลสาบบางสายในประเทศสวิตเซอร์แลนด์เท่านั้น




อ้างอิง : http://www.thaifly.com/index.php?route=news/news&news_id=96

สถานที่ท่องเที่ยวเมืองสวิตเซอร์แลนด์


     ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland) เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่สวยงามและเงียบสงบไม่แพ้ที่ไหน ๆ ในโลก จึงเป็นประเทศที่ใครหลาย ๆ คนฝันอยากจะไปท่องเที่ยว เพื่อสัมผัสกับความงามของที่นี่ด้วยตาของตัวเองสักครั้ง ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวก็มีมากมายตั้งแต่ รีสอร์ทบนภูเขา ทะเลสาป ป่าโปร่งเขียวชอุ่ม ปราสาทยุคโบราณ รวมถึงเมืองที่มีบรรยากาศทั้งแบบยุคใหม่และยุคเก่าผสมพสานอย่างลงตัว ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ประเทศสวิตเซอร์แลนด์กลายเป็นประเทศที่เหมาะเป็นอย่างมาก


1.บาเซิล (Basel)


     เมืองเก่าสไตล์ยุโรปโบราณริมฝั่งแม่น้ำไรน์ (The Rhine River) เมืองนี้มีพิพิธภัณฑ์และแกลอรี่เยอะมาก เช่น เบเยลเลอร์ แกลอรี่ (Fondation Beyeler) เป็นที่รวบรวมภาพเขียนของศิลปินชื่อดังมากมาย เช่น แวนโก๊ะห์ (Van Gogh) และปิกาสโซ่ (Picasso) เป็นต้น คันสเทล บาเซิล (Kunsthalle Basel) จัดแสดงงานศิลปะร่วมสมัยตั้งแต่ปี ค.ศ. 1872 พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ (Basel Historical Museum) ตั้งอยู่ในโบสถ์เก่าตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 14 เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีความสำคัญอันดับต้นๆ ของประเทศ คันสท์ มิวเซียม (Kunstmuseum) เป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมงานศิลปะสวยๆ ทั้งแนวย้อนยุคและแบบร่วมสมัย และพิพิธภัณฑ์ต่างๆ อีกมากมาย นอกจากนี้บาเซิลก็ยังมีสวนสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ระดับโลก ซู บาเซิล (Basel Zoological Garden-Zoo Basel)

2.เบิร์น (Bern)
 

   เมืองหลวงของประเทศที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลก เพราะการรักษาผังเมืองให้คงเดิม แม้ว่าเมืองนี้จะมีอายุกว่า 800 ปี  และเมืองนี้ยังมีป้อมปราการธรรมชาติล้อมรอบ สร้างความสวยงามและโรแมนติกไม่น้อยกว่าเมืองใดในโลก ชมบ่อเลี้ยงหมีแห่งเบิร์นอันเป็นที่มาของชื่อเมืองและยังเป็นโลโก้ประจำเมืองอีกด้วย ไปเยือนสัญลักษณ์คู่บ้านคู่เมืองหอนาฬิกาไซท์กล่อกเคนทัม ที่สร้างขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 13 และเคยใช้เป็นประตูเมืองในอดีต โบสถ์มุนสเตอร์ เซนต์ วินเซ็นซ์ (Munster St. Vinzenz) เป็นโบสถ์ประจำเมืองที่สำคัญและใหญ่ที่สุดของประเทศ


3.ซูริค (Zurich)

   ซูริคได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดในโลก ชมโบสถ์ฟราวมุนสเตอร์ (Fraumunster) เป็นโบสถ์ที่สวยงามด้วยกระจกสี (Stain Glass) หอนาฬิกาแห่งโบสถ์เซนต์ ปีเตอร์ (St.Peter) หอนาฬิกาที่มีหน้าปัดนาฬิกาที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป โบสถ์หอคอยคู่กรอสมุนเตอร์ (Grossmuster) ห้องแสดงภาพศิลปะ คุนสท์เฮาส์ (Kunsthaus) ถนนช้อปปิ้งที่แพงที่สุดในโลก ถนนบานโฮฟซตราสเซอ (Bahnhofstrasse) และหากมีเวลาเหลือควรขับรถไปชมน้ำตกที่สูงที่สุดในยุโรป น้ำตกไรน์ (Rhine Falls)


4.เจนีวา (Geneva)

   เมืองต้นกำเนิดของ www (World Wide Web) ได้รับสมญานามว่าเป็นเมืองนานาชาติ เพราะเป็นที่ตั้งขององค์กรระหว่างชาติใหญ่ๆ เช่น องค์กรสันนิบาตชาติ กาชาดสากล สำนักงานใหญ่สหประชาชาติประจำทวีปยุโรป องค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์การการค้าโลก (WTO) ขึ้นชื่อเรื่องการทำนาฬิกาชั้นดี ชมนาฬิกาดอกไม้สัญลักษณ์แห่งเจนีวา เยือนทะเลสาบเจนีวาหรือทะเลสาบเลม็อง (Lake Geneva/ Lake Léman) เป็นทะเลสาบที่สวยงามครอบคลุมพื้นที่กว่า 582 ตร.ม. ชมน้ำพุเจ็ทเดเอา (Jet d’ Eau) น้ำพุที่สูงและมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งโดยปกติน้ำพุจะเปิดตลอดปียกเว้นในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่จะปิดซ่อมบำรุงเป็นเวลา 3 สัปดาห์ นอกจากนี้ก็อย่าลืมแวะเขตเมืองเก่าเพื่อไปเยือนวิหารเซนต์ปิแอร์ (Cathédrale St. Pierre) โบสถ์เก่าแก่ของเมือง  และพิพิธภัณฑ์เอเรียน่า (The Musée Ariana-Ariana Museum) ที่จัดแสดงเครื่องแก้วและเซรามิกตั้งแต่สมัยโบราณกว่า 20,000 ชิ้น


5.เซอร์มัท (Zermatt)

   เมืองเล็กๆ เมืองนี้ตั้งอยู่ในหุบเขา เป็นเมืองที่ตั้งของยอดเขาแมทเทอร์ฮอร์น (Matterhorn) มงกุฎแห่งเทือกเขาแอลป์ภูเขารูปทรงปีรามิด สัญลักษณ์ของประเทศที่เรามักพบเห็นจากกล่องช็อกโกแลต เป็นแหล่งสกีขึ้นชื่อและเป็นเมืองปลอดมลพิษ เพราะเมืองนี้เขาห้ามใช้เครื่องยนต์ต่างๆ ที่ใช้น้ำมัน ชาวเมืองนี้ไปไหนมาไหนด้วยการเดินเป็นหลักหรือใช้ขนส่งสาธารณะ เช่น รถรางไฟฟ้า รถแท๊กซี่ไฟฟ้า รถบัสไฟฟ้า วิธีที่ดีที่สุดในการเดินทางมาเมืองนี้ คือ นั่งรถไฟมาและเดินลงเขาเข้าเมือง


6.อินเตอร์ลาเก้น (Interlaken)
   เมืองที่ล้อมรอบด้วยทะเลสาบ ฉายาเมืองในฝัน เป็นเมืองตากอากาศชั้นนำ และยังเป็นทางผ่านสำหรับไปพิชิตยอดเขาจุงฟราว (Jungfrau) และดินแดนหลังยุโรปมรดกโลก จุงฟราวยอร์ค (Jungfraujork) หากมาเยือนฤดูหนาวจะได้ชมวังน้ำแข็งและธารน้ำแข็งที่ยาวที่สุดในเทือกเขาแอลป์ (Alps) ธารน้ำแข็งอเลิทซ์ (Aletsch Glacier) หากออกนอกเมืองไปจะมีพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งบาเลนเบิร์ก (Ballenberg) จัดแสดงชาติพันธุ์และการดำรงชีวิตในสมัยโบราณ เปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน ถึง 31 ตุลาคม เมืองนี้โด่งดังมากด้านงานฝีมือทุกชนิด


7.โลซานน์ (Lausanne)

   เมืองที่มีความเป็นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 โลซานน์เป็นเมืองที่สงบและงดงามมากอยู่ติดกับทะเลสาบเจนีวา มีท่าเรือข้ามไปสู่ประเทศฝรั่งเศสได้ ชมพิพิธภัณฑ์โอลิมปิค (Olympic Museum) ที่จัดแสดงความเป็นมาของกีฬาโอลิมปิคและเป็นสำนักงานโอลิมปิคสากลอีกด้วย เดินชมบรรยากาศเมืองเก่าที่ดึงดูดกวีหลายๆ คนให้เยือนและกล่าวถึง เช่น วอลแตร์ (Voltaire) ชาร์ลส ดิกเก้นส์ (Charles Dickens) ที เอส อีเลียต (T.S. Elliot) คนไทยเรารู้จักเพราะเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จย่าและในหลวงเมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์


8.ลูเซิร์น (Luzern) 

   เป็นเมืองที่คนนิยมมาซื้อนาฬิกาโรเล็กซ์ รองลงมาคือมีดพก (Swiss Army Knives) ชมสถาปัตยกรรมในเขตเมืองเก่าที่มีอายุกว่า 500 ปี ชมหอคอยแปดเหลี่ยม (Water Tower) และสะพานไม้ลูเซิร์น ชาเปล บริดจ์ (Chapel Bridge) เป็นสะพานไม้เก่าแก่ที่สุดในโลกและเป็นสัญลักษณ์ของเมือง อนุสาวรีย์ภูเขาสิงโต (Mountain Lion) พิพิธภัณฑ์การขนส่งและคมนาคมใหญ่ที่สุดในยุโรป (Museum of Transport and Communication) เยือนภูเขาติลติส (Titlis) และพิลาตุส (Pilatus) เป็นภูเขาที่มีความชันที่สุดในโลก มีภัตตาคารอยู่บนยอดเขาที่สามารถชมทิวทัศน์โดยรอบ เมืองนี้มีนักท่องเที่ยวหนาแน่นตลอดปี ลูเซิร์นมีตลาดนัดประจำเมืองทุกวันอังคารและวันเสาร์

อ้างอิง : http://www.skyscanner.co.th/news/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B9%8C-%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B9%8C%E0%B8%9B-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%9B%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%9B




อากาศในเมืองสวิตเซอร์แลนด์



สภาพภูมิอากาศ
ในสวิตเซอร์แลนด์ภูมิอากาศจะแตกต่างกันตามแต่ภูมิประเทศ บางแห่งอุณหภูมิในฤดูร้อนและฤดูหนาวจะแตกต่างกันมาก เช่น เมืองซูริค อุณหภูมิอาจสูงถึง 30 องศาเซลเซียส และฤดูหนาวอาจต่ำถึง -25 องศาเซลเซียส
ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มี 4 ฤดู ได้แก่

  • ฤดูใบไม้ผลิ (ปลายมีนาคม – กลางพฤศภาคม)

อุณหภูมิเฉลี่ยจะอยู่ระหว่าง  6-13 องศาเซลเซียส ในช่วงนี้พระอาทิตย์จะเริ่มขึ้นเร็วกว่าตอนหน้าหนาวและตกช้าลง

  • ฤดูร้อน (ปลายพฤศภาคม – กลางกันยายน)

ช่วงนี้อากาศจะร้อนถึงร้อนมากและไม่ค่อยมีฝนตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนกรกฏาคมและสิงหาคมจะเป็นช่วงที่ร้อนที่สุด ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ อุณหภูมิในช่วงเวลากลางจะอยู่ระหว่าง 20-28 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิในตอนกลางคืนจะลดลง เหลือประมาณ 15-20 องศาเซลเซียส ทั้งนี้ก็แล้วแต่สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละปี ในช่วงฤดูร้อนนี้จะมีกลางวันที่ยาวนานมากประมาณ 13 ชั่วโมง โดยเฉพาะในเดือนกรกฏาคม แต่เมื่อเริ่มเข้าเดือนสิงหาคมพระอาทิตย์ก็จะเริ่มขึ้นช้าลง แล้วก็ตกเร็วขึ้น

  • ฤดูใบไม้ร่วง (ปลายกันยายน – กลางพฤศจิกายน)

ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีฝนตกชุกมากที่สุด ในบางปีก็มีฝนตกติดต่อกันเป็นอาทิตย์ บางปีก็ตกวันเว้นวัน อุณหภูมิในช่วงนี้จะเริ่มละต่ำลงไปที่  7-13 องศาเซลเซียสเท่าๆ กับตอนฤดูใบไม้ผลิ ช่วงเวลากลางวันก็จะลดลง

  • ฤดูหนาว (กลางพฤศจิกายน – ปลายมีนาคม)

ในฤดูนี้อากาศจะเริ่มเย็นลง จวบจนกระทั่งเข้าช่วงกลางเดือนธันวาคมจนถึงปลายมกราคมอากาศจะหนาวจัด อุณหภูมิเฉลี่ยในช่วงนี้ประมาณ -3 ถึง 6 องศาเซลเซียส แต่ในเขตเทือกเขาสูง เช่น บริเวณ Jungfraujoch หรือ Zermatt ก็อาจจะมีอุณหภูมิถึงขนาดติดลบ 10 เลยก็เป็นได้ นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีหิมะตกหนักในบางเขตด้วย


อ้างอิง : http://www.meetawee.com/home/travel-info/europe-info/switzerland-europe-info.html

เกี่ยวกับ

สวิตเซอร์แลนด์


   สวิสเซอร์แลนด์ เป็นดินแดนที่ได้รับสมญานามว่า “หลังคาแห่งทวีปยุโรป” (The roof of Europe) เพราะนอกจากจะมีเทือกเขาสูงเสียดฟ้าอย่างเทือกเขาแอลป์แล้ว ก็ยังมีภูเขาใหญ่น้อยสลับกับป่าไม้ที่แทรกตัวอยู่ตามเนินเขาและไหล่เขา สลับแซมด้วยดงดอกไม้ป่าและทุ่งหญ้าอันเขียวชอุ่ม สำหรับเลี้ยงสัตว์ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ มีพื้นที่ทัวร์สวิส ราคาถูก ธงประจำชาติสวิสประมาณ 41,287 ตารางกิโลเมตร เล็กกว่าประเทศไทยประมาณ 12 เท่าตัว จัดว่ามีภูเขามากที่สุดในยุโรป และเป็นประเทศที่มีทะเลสาบอยู่มากมาย ซึ่งเกิดจากแอ่งที่ลุ่มระหว่างหุบเขานั่นเอง ลักษณะของภูมิประเทศจึงไม่ค่อยมีพื้นที่ราบ สวิสเซอร์แลนด์มีอาณาเขตติดกับประเทศฝรั่งเศส เยอรมัน ออสเตรีย อิตาลี ทำให้ภาษาที่ใช้กันมีทั้ง 4 ภาษา คนสวิสฯส่วนใหญ่มีนิสัยรักสงบ รักความเป็นธรรม เคารพสิทธิของผู้อื่น อ่อนน้อม ถ่อมตัว ขยันขันแข็ง มัธยัสถ์ และมีความเป็นอยู่อย่างง่ายๆเมืองหลวงของสวิสเซอร์แลนด์คือกรุงเบอร์น มีเมืองใหญ่ๆที่สำคัญอีก 5 เมืองคือ ซูริค บาร์เซิล เจนีวา โลซาน และเมืองที่น่าสนใจอีกเมืองคือลูเซิร์น เป็นเมืองที่อยู่เกือบใจกลางประเทศ โดยตั้งอยู่ฝั่งค้านตะวันตกเฉียงเหนือของทะเลสาบลูเซิร์น ที่มีชื่อเรียกว่า ทะเลสาบสี่แคว้นแดนป่าไม้ (Lake of the four forest cantons) ตรงบริเวณปากแม่น้ำรอยซ์ (Reuss river)

สถานที่ ที่ขึ้นหน้าขึ้นตาและเหมาะสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจแห่งหนึ่งก็คือ ทะเลสาบลูเซิร์น ซึ่งเป็นทะเลสาบสวยงามตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขา มองไปทางไหนก็จะเห็นภูเขาโอบล้อม ทัศนียภาพบริเวณรอบๆทะเลสาบลูเซิร์น เป็นอาคารบ้านเรือนแบบสมัยใหม่ มีถนนเลียบไปตามเนินเขาตลอดระยะทาง ริมทะเลสาบจัดเป็นสวนสาธารณะ มีดอกไม้นานาพรรณออกดอกบานสะพรั่ง เช่นกุหลาบและทิวลิป เป็นต้น อากาศริมทะเลสาบเย็นสบาย เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจอย่างยิ่ง สถานที่สำคัญที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเยี่ยมชมกันคือ สะพานวิหาร (Chapel bridge) ซึ่งข้ามแม่น้ำรอยซ์ เป็นสะพานไม้ที่เก่ากี่สุดในโลก มีอายุหลายร้อยปี เป็นสัญลักษณ์และประวัติศาสตร์ของเมืองลูเซิร์นเลยทีเดียว สะพานวิหารนี้เป็นสะพานที่แข็งแรงมากมุงหลังคาแบบโบราณ เชื่อมต่อไปยังป้อมแปดเหลี่ยมกลางน้ำ ที่จั่วแต่ละช่องของสะพานจะมีภาพเขียนเป็นเรื่องราวประวัติความเป็นมาของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เป็นภาพเขียนเก่าแก่อายุกว่า 400 ปี แต่น่าเสียดายที่ปัจจุบันสะพานไม้นี้ถูกไฟไหม้เสียหายไปมาก ต้องบูรณะสร้างขึ้นใหม่เกือบหมด ภาพที่เห็น ถ่ายมาเมื่อหลายปีที่แล้วก่อนสะพานจะถูกไฟไหม้ จึงเป็นภาพสะพานเก่าตัวจริง นอกจากนี้บนสะพานวิหารยังมีร้านที่ระลึกขายของ มีสีสันสวยงามปลูกสร้างเป็นห้องๆลดหลั่นกันไปตามลาดสะพาน และบริเวณใกล้ๆกันนั้น ก็ยังมีหงส์จำนวนมากอาศัยอยู่สร้างชีวิตชีวาให้กับเมืองได้อีกด้วย


อ้างอิง : http://www.meetawee.com/home/travel-info/europe-info/switzerland-europe-info.html